แนวรบด้าน "รัฐบาล-ทหาร" กำลังเปลี่ยน
เปลว สีเงิน 15 เมษายน 2553 - 00:00
ครับ...ถึงวันนี้ ไม่เพียงคนในประเทศไทยเท่านั้นที่รู้ว่า เหตุการณ์ ๑๐ เมษา ๕๓ ที่สี่แยกคอกวัว ถนนราชดำเนิน "ทหารไม่ฆ่าประชาชน แต่ทหารในคราบประชาชนฆ่าทหาร" ทหารนั้นคือ ทั้งในราชการและนอกราชการบางคนที่ร่วม "ขบวนการทักษิณ" หวังเปลี่ยนระบบ-ล้มชาติ ส่วนประชาชนนั้นคือ มนุษย์เสื้อแดงที่ "วีระ-ณัฐวุฒิ-จตุพร-เหวง-อริสมันต์-สุภรณ์-พายัพ" และคณะปลุกปั่น ใช้เป็นโล่มนุษย์ให้ "มือสังหาร" พรางตัว "ล็อกเป้า" รัวกระสุน...ฆ่าทหาร!!
ชะตา-อนาคตประเทศไทย เหมือนยืนอยู่ปากทาง ๓ แพร่ง แพร่งซ้าย-อำนาจใหม่ภายใต้ระบอบแดงทักษิณ แพร่งขวา-รักษาระบบ-ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุขคงเดิมสืบต่อไป และแพร่งตรงหน้า... "ปฏิวัติ" ด้วยการ "ลอกคราบ" สังคมชาติครั้งใหญ่ ภายใต้โครงสร้างหลักเดิม!? ปฏิวัติในที่นี้ ไม่ได้หมายถึง "รัฐประหาร" ที่ทำกันเหมือนเอากระป๋องผูกหางหมาให้วิ่งลากไป อาศัยเพียงเสียงหลอกคน แต่ยังไม่ใช่วันนี้-พรุ่งนี้ นับจากมิถุนายน ๒๕๕๓ ไป คนไทยทุกคน ถ้ายังรักประเทศไทย และมั่นคงจะยึดเมืองไทยเป็นแดนสุดท้ายของชีวิตและตระกูล ควรต้องศึกษาให้เข้าใจในความต่างระหว่างคำว่า "ปฏิวัติ" กับคำว่า "รัฐประหาร" เพราะในความเหมือน-ความต่างนั้น มันอาจจะมาในลีลารูปร่างเดียวกัน "ในชั้นแรก" ก็เป็นได้!?
การเปลี่ยนแปลงเป็น "กฎธรรมชาติ" แต่จะเปลี่ยนแปลงแบบไหนเป็น "กฎสังคม" จากคนในชาติ ฉะนั้น อย่าถามผม อย่าถามใคร อย่าถามพ่อ อย่าถามแม่ อย่าถามพระ อย่าถามเพื่อน อย่าถามครูบาอาจารย์ แต่ให้ "ถามใจตัวเอง" ว่าต้องการพาชาติไปทางไหน-แบบไหน? และจงหัดใช้สิทธิในความเป็นพลเมืองของตน "ทำหน้าที่" เพื่อชาติ-เพื่อส่วนรวมกันเสียบ้าง อย่าเอาแต่เสพสุขบนกองทุกข์ชาติ แล้วนั่งด่า-นั่งโทษ-นั่งตำหนิ "ทุกคน" ที่ไม่ใช่ตนเอง! นี่...วานนี้ (๑๔ เม.ย.๕๓) กองกำลังกบฏแผ่นดิน ภายใต้การบัญชาการของทักษิณ ถอนที่ตั้งจากปากทางประตูผี ถนนราชดำเนิน ไปรวมอยู่เป็นจุดเดียวกัน "หันหลังให้พระ-หันหน้าหาผี" ที่สี่แยกราชประสงค์แล้ว ก็นับว่าสะดวกแทบทุกด้าน ทั้งการประสานเครือข่าย และทั้งด้านอาหารการกิน การเป็นอยู่ของพวกแกนนำ เพราะทั้งธุรกิจศูนย์การค้า และธุรกิจโรงแรมใหญ่ๆ ในย่านนั้น ทุกคนก็รู้ดีอยู่แล้วมิใช่หรือว่า "ลึกลงไปจากเบื้องหน้า" เป็นธุรกิจ-การค้าในเครือข่ายของใคร? วันนี้ที่ ๑๕ เมษาแล้ว นายกฯ อภิสิทธิ์ รัฐบาล-ทหาร น่าจะมีพลังแห่งสติปัญญาแจ่มใส มองทางไปข้างหน้าได้ชัดว่า "ควรจะปฏิบัติการ ๑-๒-๓ แบบไหน?" โดยไม่ต้องใช้แสงเลเซอร์ล็อกเป้าอย่างเขา! "ระบบข่าวสาร" ผมก็คิดว่า ฝ่ายรัฐบาล โดยเฉพาะศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) น่าจะได้ความคิดใหม่ๆ ในความหมาย "รุกชิงพื้นที่" ได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
ผมอยากให้ข้อสังเกตซักนิดว่า ในโลกยุคนี้-วันนี้ เขายกระดับการสื่อและข่าวถึงขนาดใช้คำเรียกว่า "สงครามข่าว" ไปขนาดนั้นแล้ว! ฉะนั้น ต้องปรับยุทธการข่าว และใช้ให้เป็นประโยชน์มากที่สุดทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ การรบนั้น ชนะคนเรื่องจ้อย แต่ทำให้ "ชนะใจคน" เรื่องใหญ่ นับจากวันนี้ไป ทั้งกระแสไทย และกระแสโลก จะนำเสนอข่าวสารที่ถูกต้องตรงความเป็นจริง "ด้วยความเข้าใจ" ในปัญหาและสถานการณ์ของไทยมากขึ้น ท่านนายกฯ อภิสิทธิ์ใจเย็นๆ แต่อย่าเย็นใจ ปรึกษาหารือ และรับฟังฝ่ายกองทัพคือทหารให้มากเข้าไว้ อย่าไประแวง อย่าไปกินแหนงแคลงใจ และหยุมหยิมกับใคร แม่ทัพ-นายกองทุกคนนั้น กว่าเขาจะมาถึงระดับนั้นได้ ไม่ใช่จับฉลากมานะครับ
ฉะนั้น ขอให้เขาเสนอแนะความเห็นมาให้ท่านฟังเถอะ และในส่วนตัวท่าน น่าจะเชิญผู้หลัก-ผู้ใหญ่ ผู้มีประสบการณ์ในด้านต่างๆ จากภายนอกให้เขามา "ให้ความคิดเห็น" กับท่านบ้าง อย่างท่านอาจารย์ระพี สาคริก ท่านอานันท์ ปันยารชุน พลเอกอาทิตย์ กำลังเอก ดร.สมเกียรติ อ่อนวิมล พลเอกบุญสร้าง เนียมประดิษฐ์ ท่านสุวัจน์ ลิปตพัลลภ พลเอกสุรพล ชินะจิตร พลเอกสพรั่ง กัลยาณมิตร ท่านประสงค์ สุ่นศิริ พลเอกสายหยุด เกิดผล เป็นต้น ที่ผมยกมานี้ ไม่ได้หมายความว่าต้องเป็นท่านเหล่านี้ เพียงแต่ยกตัวอย่างให้เห็นเป็นรูปธรรมในบุคคลและสาขาอันมีประสบการณ์หนักๆ มาแล้วแต่ละด้านจนตกผลึกทางสถานการณ์ระดับหนึ่งเท่านั้น ยิ่งเป็นบุคคลจากต่างพวก-ต่างฝ่ายยิ่งดีใหญ่ แนวคิดจะได้หลากหลายแง่มุม เพราะผมเชื่อ ทางไปของประเทศชาติข้างหน้า จะต้องมาจากการ "รวบรวมสติปัญญา" จากทรัพยากรบุคคลต่างระดับ ต่างสาขา จะมาจากสายเดียวไม่ได้!
อ้อ..ไอ้คำย่อว่า ศอฉ.นี่ เปลี่ยนใหม่ได้มั้ย เพราะมันเรียกไม่เข้าปากจนไม่มีใครอยากเรียก สงสัยคนย่อนี่คงเรียนตกภาษาไทย ไม่รู้ที่ตั้งเสียงของอักษรสูง กลาง ต่ำ "ศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน" เปลี่ยนอักษรย่อใหม่เป็น ศกฉ. หรือ ศสฉ. หรือ ศฉฉ. อย่างใด-อย่างหนึ่ง น่าจะฮิต-ติดปากกว่า ศอฉ. นะ? พ.อ.สรรเสริญ และ ดร.ปณิธานนั้น ทำหน้าที่ดีแล้ว ควรหาตัวช่วยมาเพิ่มอีก ต้องเน้นความสำคัญ "ให้ข้อมูลก่อน" กับสังคมโลก เคยสังเกตมั้ย ทุกครั้ง-ทุกเหตุการณ์ทำนองนี้ไม่ว่าที่ไหน "ตำรวจ-ทหาร" จะเป็นผู้ร้ายในสงครามข่าว มีแต่ครั้งนี้แหละที่ "สื่อทั่วโลก" สะท้อนเหตุการณ์ตรงข้อเท็จจริง ด้วยความเข้าใจ ไม่ใช่การชุมนุมตามวิถีทางประชาธิปไตย แต่พวกก่อการร้ายเสื้อแดงใช้การชุมนุมบังหน้า แล้วฆ่าทหาร ผมจะเอาข่าวที่นานาชาตินำเสนอที่เว็บไซต์ "มติชน" เขาออนไลน์ไว้มาให้ท่านอ่าน เพื่อยืนยันให้เห็นดังนี้ สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานเมื่อวันที่ 14 เม.ย.ว่า อ้างแหล่งข่าวระบุว่า เหตุการณ์ทหารปะทะกลุ่มคนเสื้อแดงเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา โดยมีกลุ่มมือปืนชุดดำยิงทหารในเหตุการณ์ดังกล่าว สะท้อนให้เห็นว่า ได้เกิดความแตกแยกขึ้นในกองทัพ ระหว่างทหารกลุ่มยศระดับล่างและระดับกลาง และเจ้าหน้าที่ทหารที่เห็นใจกลุ่มคนรากเหง้าเสื้อแดง กับกลุ่มทหารระดับสูงที่สนับสนุนสถาบัน กลุ่มธุรกิจ และกลุ่มคนชั้นกลาง โดย "เฟเดริโก เฟอร์รารา" ผู้เชี่ยวชาญด้านรัฐศาสตร์แห่งมหาวิทยาลัยแห่งชาติสิงคโปร์ แสดงทัศนะว่า เขาไม่แน่ใจว่ารัฐบาลจะสามารถเชื่อมั่นในความภักดีของผู้บัญชาการระดับชั้นกลาง โดยเฉพาะทหารระดับล่าง และถือได้ว่าสถานการณ์ของรัฐบาลมีความเปราะบางมาก
เอเอฟพีระบุอ้างแหล่งข่าวว่า กลุ่มคนเสื้อแดงได้รับการสนับสนุนจากกลุ่มทหารนอกแถว ซึ่งรวมทั้งนายทหารที่ปลดเกษียณ และนายทหารที่เป็นพันธมิตรกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีของไทย ขณะที่เจ้าหน้าที่ทหารรายหนึ่งที่ไม่ประสงค์จะเปิดเผยชื่อบอกว่า มีทหารระดับชั้นกลางจำนวนมากที่อยู่ข้าง พ.ต.ท.ทักษิณ ถูกกีดกันทางอำนาจ และตอนนี้พวกเขากำลังเอาคืน ด้วยการให้การสนับสนุนคนเสื้อแดง เพื่อเรียกอำนาจของตัวเองกลับคืนมา "มีความชัดเจนอย่างยิ่งว่ามีบางคนในกองทัพสนับสนุนกลุ่มคนเสื้อแดง และกองทัพไม่ได้มีความเป็นเอกภาพอีกต่อไป" นายปวิน ชัชวาลย์พงษ์พันธ์ ผู้เชี่ยวชาญประจำสถาบันศูนย์ศึกษาเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในสิงคโปร์กล่าว นอกจากนี้ เอเอฟพีระบุว่า กลุ่มคนเสื้อแดงยังได้ปฏิบัติการสองแนวรบ ด้านหนึ่งใช้การชุมนุมอย่างสันติตามท้องถนนในกรุงเทพฯ และอีกด้านหนึ่งใช้ปฏิบัติการของอดีตนายทหารและนายทหารปัจจุบันในกองทัพ โดยความแตกแยกของสถาบันกองทัพดังกล่าวกำลังสร้างความไม่แน่ใจอย่างลึกซึ้งต่อภาพลักษณ์ทางเศรษฐกิจของประเทศ ส่วนหนึ่งเนื่องจากไม่มีฝ่ายใดมีชัยในเหตุการณ์เมื่อวันเสาร์ และทำให้ทั้งสองกลุ่มนี้อยู่ในสภาพกำลังงัดข้อใช้กำลังซึ่งกันและกัน "ไม่มีฝ่ายใดได้ชัยชนะอย่างเด็ดขาด และเมื่อรัฐบาลไม่ได้เป็นผู้ใช้กำลังอำนาจอีกต่อไป
จากนั้นสถานการณ์ก็จะเข้าสู่ภาวะอนาธิปไตย" นายชาญวิทย์ เกษตรศิริ นักประวัติศาสตร์การเมืองไทยกล่าว เอเอฟพีระบุด้วยว่า แหล่งข่าวกองทัพและรัฐบาลกล่าวว่า พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ อดีตนายกรัฐมนตรีและพันธมิตรใกล้ชิดของ พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นผู้นำอดีตนายทหารเกษียณราชการและนายทหารปัจจุบัน คอยให้การสนับสนุนแก่กลุ่มคนเสื้อแดง แม้ว่าเร็วๆ นี้ เขาจะปฏิเสธว่า ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์มือปืนชุดดำโจมตีทหารระหว่างปะทะกับกลุ่มคนเสื้อแดงที่ถนนราชดำเนิน โดยเห็นได้ชัดว่า เขาเป็นคู่แข่งสำคัญในฉากการเมืองที่ปรากฏขึ้นมาในขณะนี้ โดยภายหลังเหตุการณ์เมื่อวันเสาร์ พลเอกชวลิตได้เรียกร้องให้รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ยุบสภา ขณะที่บทบาทของเขาก่อนหน้านั้น เมื่อเดือน ต.ค.ปีที่แล้ว เขาได้กลายเป็นประธานที่ปรึกษาพรรคเพื่อไทย ซึ่งถือเป็นกลุ่มปีกขวาของกลุ่มคนเสื้อแดง และพลเอกชวลิตได้โน้มน้าวให้ทหารนอกราชการเข้ามาร่วมกับเขา อันเป็นความเคลื่อนไหวที่ถูกมองว่าสร้างความแตกแยกให้สถาบันกองทัพที่ครั้งหนึ่งเป็นปึกแผ่นมั่นคง แหล่งข่าวรัฐบาลระบุว่า ความแตกแยกที่หนักข้อขึ้นได้เปลี่ยนแปลงชีวิตในค่ายทหารที่นายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และเจ้าหน้าที่รัฐบาลระดับสูง ใช้ร่วมประชุมกันที่กรมทหารราบที่ 11 โดยเจ้าหน้าที่รัฐบาลบอกว่า แผนของรัฐบาลได้รั่วออกจากกองทัพ "เราไม่รู้ว่าจะเชื่อถือใครได้ เพราะนอกเหนือจากเราแล้ว ก็ยังมีทหารที่อยู่ข้าง พ.ต.ท.ทักษิณ" เจ้าหน้าที่รัฐบาลระดับสูงบางรายที่ไม่ประสงค์จะให้เปิดเผยชื่อกล่าว
นอกจากนี้ เอเอฟพีชี้ว่า เมืองไทยยังคงสุ่มเสี่ยงที่อาจจะมีเหตุการณ์ปฏิวัติเกิดขึ้น เพราะไม่เป็นที่ชัดเจนว่า กองทัพจะปกป้องรัฐบาลไปอีกนานแค่ไหน หรือกองทัพจะสามารถต้านทานกลุ่มทหารที่เป็นพันธมิตรกับทักษิณได้อีกนานแค่ไหน โดยหากมีการคืนอำนาจสู่ประชาชน ก็ถือว่าโอกาสได้เข้าทางกลุ่มพันธมิตรของ พ.ต.ท.ทักษิณ และแม้แต่ที่ผ่านมา พลเอกอนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ.จะยืนยันว่า เขาจะไม่ปฏิวัติ แต่เรียกร้องให้รัฐบาลยุบสภา แต่จากประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา จะเห็นได้ว่า กลุ่มทหารที่สนับสนุนสถาบันไม่เคยปฏิเสธแนวทางที่จะปฏิวัติเลย เพราะสำหรับเมืองไทยนั้น มีการปฏิวัติ 18 ครั้ง ในช่วง 77 ปีที่ผ่านมา สำนักข่าวเอเอฟพีได้เผยแพร่คลิปวิดีโอเหตุการณ์การปะทะกันระหว่างกลุ่มคนเสื้อแดงและทหาร เมื่อวันเสาร์ที่ 10 เม.ย.ที่ผ่านมา โดยระบุว่า คลิปดังกล่าวเป็นคลิปที่ถ่ายไว้โดยผู้ชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดงเอง สำหรับคลิปวิดีโอนี้ได้ถูกโพสต์ขึ้นบนเว็บไซต์ยูทูป (http://www.youtube.com/ http://www.youtube.com/) ความยาว 53 วินาที ในช่วงระหว่างวินาทีที่ 8-12 ได้จับภาพนายทหารระดับผู้บังคับบัญชาซึ่งยืนอยู่บนรถ กำลังยิงปืนพกสั้นขึ้นฟ้า ตามขั้นตอนการปฏิบัติการสลายการชุมนุม โดยระหว่างที่นายทหารคนดังกล่าวยิงปืนขึ้นฟ้า ได้ปรากฏจุดเลเซอร์สีเขียวและสีแดงขึ้นบริเวณส่วนศีรษะของนายทหารระดับผู้บังคับบัญชา คล้ายกับเลเซอร์ระบุเป้าในการโจมตี ขณะที่อีกไม่กี่นาทีต่อมาก็เกิดประกายไฟและเสียงระเบิดขึ้นในหมู่เจ้าหน้าที่ทหาร และก่อให้เกิดความโกลาหลขึ้นตามมา จากนั้นภาพจึงมีการตัดมาที่กลุ่มคนเสื้อแดงเข้าทุบทำลายรถขยายเสียงของทางราชการ และภาพเจ้าหน้าที่ กลุ่มผู้ชุมนุมนอนได้รับบาดเจ็บหลายราย
ไม่มีคำต่อท้ายจากผมวันนี้ นอกจากบอกสั้นๆ ว่า ขอเพียงมะลิร่วง-พวงมาลัยร้อยก็พอ ไปเถอะ...ไปลูบบาดแผลทหารแล้วความอุ่นจากมือท่านจะเป็นยาวิเศษสมานใจ "ทหารกับประชาชน" ต้องผูกใจไปด้วยกันตลอดกาล ไปเถอะ...ไปที่โรงพยาบาลพระมงกุฎฯ นั่นแหละ ศูนย์รวมน้ำใจ...ให้ทหาร.!
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น