วันพฤหัสบดีที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2553

ตลกร้ายกลางเมือง


คมชัดลึก : ขบวนการเสื้อแดงเริ่มแปรสภาพเมื่อการยึดสี่แยกราชประสงค์ยืดเยื้อ ขณะที่รัฐบาลยังรีรอ ขู่ว่าจะย่อยสลาย ทำให้แกนนำหัวโจกกินไม่ได้ นอนไม่หลับ นั่งไม่ติด ทำให้วุ่น ต้องหาทางดิ้นรนหาทางลง หนีตาย แต่ยังปากกล้า ขาสั่น

จากเสื้อแดงเปลี่ยนเป็นเสื้ออะไรก็ได้ คงอยากหนีการจับกุมถ้าเจ้าหน้าที่ตัดสินใจสลาย ประชาชนไม่รู้ว่าจะเกิดเมื่อไหร่ แต่หวังว่าไม่รอนานถึงชาติหน้า

แกนนำยกระดับทุกวัน จนขาลอย ยืนไม่ติดพื้น ถูกเกลียดชังทั่วเมือง กลายเป็นชนกลุ่มน้อย ก่อการกบฏ มีกองกำลังก่อการร้ายในเมือง

พฤติกรรมของการ์ดเสื้อแดง ชุดดำ มีทั้งตั้งด่านเถื่อน ตรวจค้นรถ ฉกทรัพย์สินซึ่งหน้า กลายเป็นกองโจรดักปล้นชาวเมือง แต่แกนนำหน้าด้าน มีข้อแก้ตัวเสมอ ถ้าไม่บอกว่าเป็น “แดงเทียม” ก็บอกว่า “ไม่ใช่มติของแกนนำ”

เขาเรียกพฤติกรรมนี้ว่า “แก้ตัวแบบแกนๆ” นั่นเอง!

ทุกวันนี้การยกระดับของแกนนำทำให้ถึงขั้นเป็นกบฏ ก่อการร้าย เพื่อล้มล้างรัฐบาล และถูกยกระดับเป็นขบวนการล้มเจ้า ทำเอาแกนนำและขาใหญ่ในพรรคเพื่อถ่อยร้องเป็นหมูโดนน้ำร้อน อ้างว่าขอล้มอำมาตย์เท่านั้น

ถามว่าอำมาตย์เป็นใคร ก็ตอบไม่ได้ เพราะระดับรองประธานสภาก็ถือว่าติดอันดับเจ้าขุนมูลนาย เป็นอำมาตย์เช่นกัน ดังนั้นต้องตะแบงไปแบบแกนๆ

ขบวนการเสื้อแดงเริ่มเห็นลางแห่งความหายนะรออยู่ ทุกวันนี้ไม่กล้าแม้แต่จะใส่เสื้อแดง กลัวว่าจะโดนล้างแค้น หลังจากกร่างมานาน เดี๋ยวนี้มีการชุมนุมของกลุ่มคนหลากสีแทบทุกจังหวัดทุกวัน จำนวนคนมากกว่าเสื้อแดง

แกนนำก็รู้ชะตากรรมตัวเอง หลังจากทักษิณ คนหนีคุกหมดสภาพ จะรอดหรือไม่รอด ญาติพี่น้อง ลูกเมียยังรอลุ้น ตอนนี้ถูก “ก้าวข้าม” ไปแล้ว

ศอฉ. หรือ “ศูนย์อับเฉา” อย่างที่โดนแซว ยังหาทางออกโดยไม่ให้การย่อยสลายม็อบแบบเสียเลือดเนื้อ ทั้งๆ ที่น่าจะแยกแยะได้ถูกว่าพวกชุมนุมสี่แยกราชประสงค์นำโดย 3 หัวกลมกะโหลกหนาและ 1 เหวงนั้น ไม่ใช่ม็อบปกติ

เป็นกบฏ ก่อการร้าย มีอาวุธร้ายแรงเพื่อล้มล้างรัฐบาล สถาบันชาติ!

ทหารและตำรวจส่วนน้อยพยายามบีบรัด จำกัดพื้นที่ของขบวนการล้มเจ้า ขณะที่แกนนำสิ้นคิดก็อยากขยายจากปทุมวันไปให้ถึงสี่แยกเจริญผล น่าจะถามด้วยว่าเด็กนักเรียนช่างกลปทุมวันจะยอมให้รุกพื้นที่ได้หรือไม่

กลัวว่าจะจับมือเด็กอุเทนถวายรักชาติ กระหนาบ ลุยปิดล้อมม็อบกบฏแดง ถ้าเป็นอย่างนั้น คงดูไม่จืดแน่ แกนนำหัวกลมจะเปิดศึกหลายด้าน

หลุดจากสี่แยกไป คงต้องไปลี้ภัยตามตะเข็บชายแดน!

นายกฯ มาร์คออกอาการถอดใจ ให้สัมภาษณ์สื่อนอกว่าอาจเผ่น ถ้าทำอะไรไม่ได้ คงลืมไปแล้วว่าเคยพูดว่า “ไม่มีสิทธิ์ล้มเหลว” หรือจะอ้อนแม่ยก!

ชาวบ้านเบื่อความไม่เด็ดขาด มีกบฏกลางเมือง ตั้งเขตปลอดอำนาจรัฐ ยังวางเฉย นี่ยังบอกให้ทหารว่าห้ามจับตายแกนนำ แล้วใครจะทำงานให้ละนิ! อิอิอิ!!!

วันเสาร์ที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2553

คำทำนายแม่ชีมโนราห์-ครูบาหนุ่มเป็นกำลังใจในยามนี้...





อ่านคำทำนายดีกว่าในยามนี้ดีกว่าฝากความหวังไว้ที่ "อนุพงศ์"

“ครูบาหนุ่ม” เกจิชื่อดังจากวัดบนดอยแม่สะเรียง - “แม่ชีมโนรา” ฟันธง 5 วันสงครามกลางเมืองจบแน่ ชี้ ไม่มีการสู้รบครั้งใดไม่เสียเลือดเนื้อและชีวิต แต่สิ้นเมษายนทุกอย่างจะเข้าสู่ภาวะปกติ ระบุ “ดวงอภิสิทธิ์” ยังแรงประคองรัฐอยู่ครบวาระ ไม่มียุบสภา เลือกตั้งใหม่แน่นอนล้านเปอร์เซ็นต์ ขณะที่ผู้ทรยศต่อแผ่นดินจะถูกบาปกรรมกัดกินจนวาระสุดท้าย

แม่ชีมโนรา เขตภูเขียว จากสำนักปฏิบัติธรรมแม่ชีมโนรา ต.หนองสาหร่าย อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา กล่าวถึงสถานการณ์บ้านเมืองขณะนี้ ว่า ตนไม่ใช่หมอดู และไม่ได้อยู่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง เพราะลูกศิษย์ก็มีอยู่ทุกภาคในประเทศ แต่ตนพูดตามภาพที่ได้เห็น “จึงกล้าฟันธงว่าภายใน 5 วันนี้รัฐบาลจะใช้มาตรการขั้นเด็ดขาดเพื่อสลายการชุมนุมและจะทำสำเร็จ ซึ่งแน่นอนว่าไม่มีการสู้รบครั้งใดจะไม่เสียเลือดเนื้อและชีวิต โดยในครั้งนี้ก็จะมีคนบาดเจ็บล้มตายจำนวนไม่น้อยและเป็นคนทุกระดับ ซึ่งทุกคนก็ถึงคราวสิ้นอายุขัยของตัวเอง การเสียสิ่งหนึ่งเพื่อรักษาส่วนใหญ่ไว้เป็นสิ่งที่ผู้นำก็ต้องตัดสินใจ จึงขอให้ทุกคนตั้งสติ คิดดี ทำดี และทุกอย่างจะผ่านพ้นไปได้ และจะเริ่มดีขึ้นตั้งแต่เดือนพฤษภาคมเป็นต้นไป” แม่ชีมโนรา กล่าวว่า ขณะนี้ดวงเมืองยังดีอยู่เช่นเดียวกับ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ก็ยังมีบารมีเต็มเปี่ยมไม่มีใครทำอะไรได้ แม้จะสะบักสะบอมบ้างแต่ก็เป็นกรรมเฉพาะตัวและก็จะผ่านพ้นไปได้ เพราะท่านเป็นคนจิตนิ่ง จิตมั่น จิตเดียว ที่จะนำพาประเทศชาติให้อยู่รอด นอกจากนี้ด้วยบารมีของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ทรงปกครองแผ่นดินโดยธรรมจะเป็นเกราะคุ้มภัยให้ประเทศกลับมาสู่ความร่มเย็นอีกครั้ง “คนที่เป็นผู้นำต้องมีความอดทน อดกลั้น เมื่อถึงคราวคับขัน สู้ก็ตาย ไม่สู้ก็ตาย แต่ถ้าสู้ก็ยังมีทางรอด ขณะนี้รัฐบาลก็ตกอยู่ในสภาพนั้น แต่จะผ่านไปได้ อย่างไรก็ตาม คนที่มีดวงเป็นกาลกิณีต่อบ้านเมือง ขายชาติขายแผ่นดินก็มีไม่น้อย ซึ่งเขาก็ จะได้รับผลกรรมของเขาไปเอง บาปกรรมจะกัดกินเขาไปจนวาระสุดท้ายของชีวิต แม่ชีได้เคยพูดไว้แล้วว่าคนพวกนี้ตายไปจะเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน เพราะแผ่นดินนี้บูรพกษัตริย์ไทยทุก ๆ พระองค์ เหล่าทหารกล้าได้สละเลือดและชีวิตรักษาไว้นับร้อยนับพันปีมาแล้ว” แม่ชีมโนรา กล่าว


แม่ชีมโนรา ให้ธรรมะด้วยว่า ผู้นำที่ดีควรเอาชนะมาร 5 คือ 1.ขันธมาร คือ เนื้อหนังเอ็นกระดูก เราเพียงแค่ยืมมารมาใช้เท่านั้น 2.กิเลสมาร คือ ความโลภ โกรธ หลงเข้าครอบงำ การยุแยงให้เกิดความแตกแยก ก็ถือเป็นกิเลสมารอย่างหนึ่ง 3.อภิสังขารมาร คือ การปรุงแต่งต่างๆ นานา โดยขาดสติจะนำมาซึ่งความเดือดร้อน 4.เทวบุตรมาร คือ สิ่งที่มาทดสอบเราว่าเราจะผ่านไปได้หรือไม่ มีเรื่องเล่าตั้งแต่พุทธกาลสมัยพระพุทธเจ้าในภพของพระโพธิสัตว์ บำเพ็ญภาวนา พลันพระอินทร์ได้แปลงกายเป็นนกใหญ่ไล่ฆ่านกเล็ก และนกเล็กได้บินมาซุกจีวรของพระองค์ นกใหญ่จึงมาขอนำนกเล็กไปทำลายแต่พระโพธิสัตว์ขอบิณฑบาตรไว้ นกใหญ่ไม่ยอม และบอกว่าเนื้อต้องแลกด้วยเนื้อ พระโพธิสัตว์ท่านก็ได้เฉือนเนื้อของตัวเองจนกว่านกใหญ่จะพอใจเพื่อแลกชีวิตของนกเล็ก เปรียบได้กับสถานการณ์บ้านเมือง ณ ขณะนี้การจะผ่านการทดสอบหรือผ่านพ้นวิกฤติไปได้ บางครั้งก็ต้องเสียสละเลือดเนื้อบ้าง และมารตัวสุดท้ายคือ มัจจุมาร อันหมายถึงความตายซึ่งทุกคนหนีไม่พ้น แต่คนเราจะเลือกตายแบบไหน ตายเพื่อแผ่นดิน หรือจะตายเพื่อคนขายแผ่นดิน นอกจากนี้ แม่ชีมโนรา ยังระบุด้วยว่า แม้จะมีการเรียกร้องให้รัฐบาลยุบสภา แต่สิ่งที่ตนเห็นก็คือมีคนจำนวนมากกว่าที่ไม่ต้องการให้เป็นเช่นนั้น ซึ่งเป็นเหมือนเกราะให้นายอภิสิทธิ์ได้อยู่ในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีจนครบวาระ ไม่มีการยุบสภา ลาออก หรือเลือกตั้งใหม่ล้านเปอร์เซ็นต์ แต่จะมีแก้ข้อกฎหมายในบางข้อเพื่อให้บ้านเมืองเดินได้ นายกรัฐมนตรีในขณะนี้เปรียบเสมือนต้นไม้ที่แม้จะต้องลมพายุบ้าง ใบร่วงหล่นไปบ้าง แต่ลำต้นยังสามารถตั้งตรงอยู่ได้ ตนไม่เคยพบนายอภิสิทธิ์เขาไม่เคยให้เงินให้ทองหรือมีส่วนอุปถัมภ์ตนใดๆ ทั้งสิ้น จึงไม่มีเหตุผลใด ๆ ที่ตนจะเข้าข้างหรืออคติต่อฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด แต่พูดจากสิ่งที่ได้เห็นและสัมผัสได้เท่านั้น ด้านครูบาหนุ่ม ยิ่งยืน เกจิชื่อดังจากวัดบนดอย อ.แม่สะเรียง จ.แม่ฮ่องสอน กล่าวว่า บ้านเมืองจะพ้นวิกฤตได้แน่นอนภายในเดือนเมษายนนี้ แต่ต้องมีเสียเลือดเสียเนื้อและชีวิต จึงขอให้ทุกคนตั้งมั่นอยู่กับการทำความดีรักชาติรักแผ่นดิน ผู้ใดเป็นกบฏต่อแผ่นดินเกิด ก็จะต้องสังเวยชีวิตไปตามกรรม
ที่มา http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9530000055197

รอวันโดนเอาคืนเรอะ

คมชัดลึก :อ่า! คนธรรมดาย่อมมีความกลัวตาย ยิ่งเป็นพวกที่กลุ้มรุมทำร้ายคนอื่นด้วยอาวุธสงครามถึงบาดเจ็บล้มตายกลางเมือง ขณะที่ปากอ้างว่าต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยด้วยวิธีสันติ อหิงสา แต่ประกาศตั้งค่าหัวผู้นำประเทศสูงถึง 10 ล้านบาท นี่แสดงให้เห็นการยกระดับของการไร้มาตรฐานชัดเจน!
จากกุ๊ยรับจ้างจัดม็อบชุมนุม สู้เพื่อรวย แบบธรรมดา สะสมได้เงินมากแล้ว ก็ยกระดับให้เป็นกบฏ ก่อการร้าย ด้วยสงครามทุกรูปแบบ หวังล้มรัฐบาลเต็มสูบ

ความอหังการของแกนนำมวลชนเสื้อแดงถึงขั้นล้มฟ้า พลิกแผ่นดินครั้งนี้ มีการปฏิบัติการด้วยกองกำลังติดอาวุธ มีหลักฐานเป็นภาพถ่ายชัดเจน โดยสื่อต่างชาติ และมีช่างภาพญี่ปุ่นต้องสังเวยชีวิตให้ผู้ก่อการร้ายโหดเหี้ยม แกนนำเสื้อแดงเหิมเกริมหนัก หลังจากประกาศชัยชนะในการรบ เมื่อเห็นความหายนะ มีสื่อแดงหลายฉบับเป็นตัวช่วยด้านสื่อ กระพือข่าวตีรัฐบาล

กองทัพไม่เคยสูญเสียมากเท่านี้ เพราะระดับผู้คุมกำลังถูกจัดการหลายคน เป็นการล็อกเป้าให้หน่วยสังหารระดมถล่มด้วยปืนยิงระเบิดและพลซุ่มยิง แกนนำเสื้อแดงร่าเริง ตั้งเงื่อนไขให้นายกฯ อภิสิทธิ์ต้องเดินทางออกนอกประเทศ เป็นเงื่อนไขเดียวหลังจากให้ยุบสภา ลาออก และตั้งข้อหาทรราชให้ด้วย
ได้ทีขี่แพะไล่ นึกว่าเสร็จแน่ ปลุกกระแสมวลชน ทำสารพัด ทั้งชิงศพมาโชว์ แห่โลงรอบเมือง นึกว่าเป็นความโก้ แสดงให้เห็นความเป็นนักปฏิวัติประชาธิปไตย

การเอาศพ แบกโลงศพไปตีกิน ไม่ประสบความสำเร็จ เพราะพฤติกรรมที่ผ่านมาน่ารังเกียจขยะแขยง แกนนำมีคดีติดตัว ประวัติมัวหมอง เป็นกลุ่มคนซึ่งมีสมุนเป็นพวกเถื่อนถ่อย อันธพาล แกนนำมีทั้งอดีตคอมมิวนิสต์ และยังเป็นแดงอยู่เต็มร้อย นักร้อง ดาวตลก ดาวโจ๊ก หมอนวด รวมกันเป็นขบวนการเดนคน รับจ้างจัดม็อบหลอกเอาเงินคนหนีคุก นึกว่าการรบกลางถนนราชดำเนินและการประโคมว่าทหารฆ่าประชาชนจะสำเร็จ ล้มรัฐบาลได้ กลายเป็นว่ากองกำลังกบฏ โจรก่อการร้าย ฆ่าทหาร ทำให้กระแสตีกลับ ชาวบ้านรู้ว่าพวกแกนนำม็อบแดงเป็นพวกก่อการร้าย ก็เริ่มกลัวตายเพราะระดมคนล้มรัฐบาลไม่ได้ตามแผน นายกฯ อภิสิทธิ์ยังยื้อสู้ต่อไป แม้จะมีทหารแตงโมและพวกปอดแหกหวังอยู่สบาย ไส้ศึกปนอยู่ด้วยก็ตาม!

นอกจากระดมคนไม่ได้ตามแผน ยังมีข่าวลือสารพัด เช่น การ “รัฐประหาร” ล้มรัฐบาล โดยทหารบางกลุ่มซึ่งมองว่าการรัฐประหารเป็นทางออกแบบเบ็ดเสร็จ ถ้ารัฐประหาร พวกเสื้อแดงออกมาต่อต้าน ก็จะจัดการให้เต็มที่! แต่ที่พวกแกนนำเสื้อแดงกลัวมากคือการ “เอาคืน” ของทหารบางกลุ่มที่สุดแค้นเพราะถูกทำร้ายฝ่ายเดียวโดยกองกำลังกบฏเสื้อแดงขณะปฏิบัติหน้าที่ควบคุมฝูงชนที่บ้าคลั่ง โดยการปลุกระดมต่อเนื่องโดย “ทักษิณ” คนหนีคุก

การ “เอาคืน” คงไม่ได้หมายความว่าจะเรียกตัวแกนนำ 24 คน มีหมายจับไปจับเข่าคุย ขอร้องให้เลิกการชุมนุม ด้วยถ้อยคำของนายแสนดี วจีไพเราะ แต่คงจะคุยด้วยห่ากระสุนปืน ถ้าการบุกเข้ารวบตัวตามหมายจับถูกต่อต้าน เพราะการจับกุมพวกกบฏ ก่อการร้าย ย่อมต้องไม่ใช้วิธีธรรมดา อย่านึกว่าถ้าเหตุการณ์แบบนั้นเกิดขึ้น เจ้าหน้าที่จะเข้าไปมือเปล่า!

การย้ายมวลชนที่ร่อยหรอจากการยุบเวทีสะพานผ่านฟ้าฯ หนีตายเข้าไปรวมกันที่สี่แยกราชประสงค์ คงนึกว่าจะใช้โล่มนุษย์และห้างร้านเป็นที่กำบัง ใช้เป็นตัวประกัน ไม่ให้ “กองกำลังฝ่ายตรงข้ามกับเสื้อแดง” เข้าปฏิบัติการ เพราะการ “เอาคืน” นั้น ย่อมมีหนทางเดียวสำหรับแกนนำคือ เข้าไปอยู่ในโลงศพที่เตรียมไว้สำหรับตัวเอง หลังจากนำไปแห่รอบเมืองเพื่อปลุกกระแส ถึงคราวกลัวตาย ย่อมรู้ว่าชีวิตของตัวเองถูกจำกัดทั้งความเคลื่อนไหว และระยะเวลาสำหรับการมีลมหายใจ แม้จะออกไปไกลจากเวทีก็ยังยากเสียแล้ว มีหนทางเดียวคือพยายามหลบหนีออกไปนอกประเทศ โดยไม่ผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองตามปกติ ถ้ารอดตาย คงไม่มีโอกาสได้เดินบนถนนอีกแล้ว

การกวาดล้างต้องรวมพวกนายทุนจ่ายเงินให้พวกกบฏก่อการร้าย พวก ส.ส.พรรคเพื่อคนหนีคุก ซึ่งเคยขึ้นเวที สนับสนุนขบวนการล้มรัฐบาล ที่สำคัญคือเครือข่ายครอบครัว ญาติพี่น้อง เพื่อนพ้องคนหนีคุก ซึ่งทุ่มเงินล้มล้างรัฐบาลอย่างเปิดเผย เล็งผลเลิศ นึกว่าศึกล้มเมืองครั้งนี้จะสำเร็จ การไปชุมนุมที่สี่แยกราชประสงค์แห่งเดียว อาจมองว่าเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญ แต่ก็เป็นจุดอ่อนอย่างมาก เพราะได้สร้างความไม่พอใจ ความแค้นให้คนกรุง ถ้าต้องการหนีก็ยาก โดนปิดล้อมก็ง่าย และถ้าเกิดความเสียหายคือนักธุรกิจส่วนหนึ่งคือบรรดาสปอนเซอร์กบฏก่อการร้ายเสื้อแดงนั่นเอง

กองกำลังฝ่ายตรงกันข้าม ถ้าถึงเวลาต้องเอาคืนแกนนำ ต้องเตือนให้ชาวบ้านธรรมดาไปให้พ้นจากพื้นที่ ให้เหลือสำหรับพวกฮาร์ดคอร์ หรือพวกอันธพาล ซึ่งพร้อมจะโดนทั้งลูกจริง และลูกหลงจากการปฏิบัติการ ถึงเวลา อย่ามาร้องว่าไม่เตือนนิ! อิอิอิ!!!

วันพฤหัสบดีที่ 15 เมษายน พ.ศ. 2553

แนวรบด้าน "รัฐบาล-ทหาร" กำลังเปลี่ยน

แนวรบด้าน "รัฐบาล-ทหาร" กำลังเปลี่ยน

15 เมษายน 2553 - 00:00
ครับ...ถึงวันนี้ ไม่เพียงคนในประเทศไทยเท่านั้นที่รู้ว่า เหตุการณ์ ๑๐ เมษา ๕๓ ที่สี่แยกคอกวัว ถนนราชดำเนิน "ทหารไม่ฆ่าประชาชน แต่ทหารในคราบประชาชนฆ่าทหาร" ทหารนั้นคือ ทั้งในราชการและนอกราชการบางคนที่ร่วม "ขบวนการทักษิณ" หวังเปลี่ยนระบบ-ล้มชาติ ส่วนประชาชนนั้นคือ มนุษย์เสื้อแดงที่ "วีระ-ณัฐวุฒิ-จตุพร-เหวง-อริสมันต์-สุภรณ์-พายัพ" และคณะปลุกปั่น ใช้เป็นโล่มนุษย์ให้ "มือสังหาร" พรางตัว "ล็อกเป้า" รัวกระสุน...ฆ่าทหาร!!

ชะตา-อนาคตประเทศไทย เหมือนยืนอยู่ปากทาง ๓ แพร่ง แพร่งซ้าย-อำนาจใหม่ภายใต้ระบอบแดงทักษิณ แพร่งขวา-รักษาระบบ-ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุขคงเดิมสืบต่อไป และแพร่งตรงหน้า... "ปฏิวัติ" ด้วยการ "ลอกคราบ" สังคมชาติครั้งใหญ่ ภายใต้โครงสร้างหลักเดิม!? ปฏิวัติในที่นี้ ไม่ได้หมายถึง "รัฐประหาร" ที่ทำกันเหมือนเอากระป๋องผูกหางหมาให้วิ่งลากไป อาศัยเพียงเสียงหลอกคน แต่ยังไม่ใช่วันนี้-พรุ่งนี้ นับจากมิถุนายน ๒๕๕๓ ไป คนไทยทุกคน ถ้ายังรักประเทศไทย และมั่นคงจะยึดเมืองไทยเป็นแดนสุดท้ายของชีวิตและตระกูล ควรต้องศึกษาให้เข้าใจในความต่างระหว่างคำว่า "ปฏิวัติ" กับคำว่า "รัฐประหาร" เพราะในความเหมือน-ความต่างนั้น มันอาจจะมาในลีลารูปร่างเดียวกัน "ในชั้นแรก" ก็เป็นได้!?

การเปลี่ยนแปลงเป็น "กฎธรรมชาติ" แต่จะเปลี่ยนแปลงแบบไหนเป็น "กฎสังคม" จากคนในชาติ ฉะนั้น อย่าถามผม อย่าถามใคร อย่าถามพ่อ อย่าถามแม่ อย่าถามพระ อย่าถามเพื่อน อย่าถามครูบาอาจารย์ แต่ให้ "ถามใจตัวเอง" ว่าต้องการพาชาติไปทางไหน-แบบไหน? และจงหัดใช้สิทธิในความเป็นพลเมืองของตน "ทำหน้าที่" เพื่อชาติ-เพื่อส่วนรวมกันเสียบ้าง อย่าเอาแต่เสพสุขบนกองทุกข์ชาติ แล้วนั่งด่า-นั่งโทษ-นั่งตำหนิ "ทุกคน" ที่ไม่ใช่ตนเอง! นี่...วานนี้ (๑๔ เม.ย.๕๓) กองกำลังกบฏแผ่นดิน ภายใต้การบัญชาการของทักษิณ ถอนที่ตั้งจากปากทางประตูผี ถนนราชดำเนิน ไปรวมอยู่เป็นจุดเดียวกัน "หันหลังให้พระ-หันหน้าหาผี" ที่สี่แยกราชประสงค์แล้ว ก็นับว่าสะดวกแทบทุกด้าน ทั้งการประสานเครือข่าย และทั้งด้านอาหารการกิน การเป็นอยู่ของพวกแกนนำ เพราะทั้งธุรกิจศูนย์การค้า และธุรกิจโรงแรมใหญ่ๆ ในย่านนั้น ทุกคนก็รู้ดีอยู่แล้วมิใช่หรือว่า "ลึกลงไปจากเบื้องหน้า" เป็นธุรกิจ-การค้าในเครือข่ายของใคร? วันนี้ที่ ๑๕ เมษาแล้ว นายกฯ อภิสิทธิ์ รัฐบาล-ทหาร น่าจะมีพลังแห่งสติปัญญาแจ่มใส มองทางไปข้างหน้าได้ชัดว่า "ควรจะปฏิบัติการ ๑-๒-๓ แบบไหน?" โดยไม่ต้องใช้แสงเลเซอร์ล็อกเป้าอย่างเขา! "ระบบข่าวสาร" ผมก็คิดว่า ฝ่ายรัฐบาล โดยเฉพาะศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) น่าจะได้ความคิดใหม่ๆ ในความหมาย "รุกชิงพื้นที่" ได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น

ผมอยากให้ข้อสังเกตซักนิดว่า ในโลกยุคนี้-วันนี้ เขายกระดับการสื่อและข่าวถึงขนาดใช้คำเรียกว่า "สงครามข่าว" ไปขนาดนั้นแล้ว! ฉะนั้น ต้องปรับยุทธการข่าว และใช้ให้เป็นประโยชน์มากที่สุดทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ การรบนั้น ชนะคนเรื่องจ้อย แต่ทำให้ "ชนะใจคน" เรื่องใหญ่ นับจากวันนี้ไป ทั้งกระแสไทย และกระแสโลก จะนำเสนอข่าวสารที่ถูกต้องตรงความเป็นจริง "ด้วยความเข้าใจ" ในปัญหาและสถานการณ์ของไทยมากขึ้น ท่านนายกฯ อภิสิทธิ์ใจเย็นๆ แต่อย่าเย็นใจ ปรึกษาหารือ และรับฟังฝ่ายกองทัพคือทหารให้มากเข้าไว้ อย่าไประแวง อย่าไปกินแหนงแคลงใจ และหยุมหยิมกับใคร แม่ทัพ-นายกองทุกคนนั้น กว่าเขาจะมาถึงระดับนั้นได้ ไม่ใช่จับฉลากมานะครับ

ฉะนั้น ขอให้เขาเสนอแนะความเห็นมาให้ท่านฟังเถอะ และในส่วนตัวท่าน น่าจะเชิญผู้หลัก-ผู้ใหญ่ ผู้มีประสบการณ์ในด้านต่างๆ จากภายนอกให้เขามา "ให้ความคิดเห็น" กับท่านบ้าง อย่างท่านอาจารย์ระพี สาคริก ท่านอานันท์ ปันยารชุน พลเอกอาทิตย์ กำลังเอก ดร.สมเกียรติ อ่อนวิมล พลเอกบุญสร้าง เนียมประดิษฐ์ ท่านสุวัจน์ ลิปตพัลลภ พลเอกสุรพล ชินะจิตร พลเอกสพรั่ง กัลยาณมิตร ท่านประสงค์ สุ่นศิริ พลเอกสายหยุด เกิดผล เป็นต้น ที่ผมยกมานี้ ไม่ได้หมายความว่าต้องเป็นท่านเหล่านี้ เพียงแต่ยกตัวอย่างให้เห็นเป็นรูปธรรมในบุคคลและสาขาอันมีประสบการณ์หนักๆ มาแล้วแต่ละด้านจนตกผลึกทางสถานการณ์ระดับหนึ่งเท่านั้น ยิ่งเป็นบุคคลจากต่างพวก-ต่างฝ่ายยิ่งดีใหญ่ แนวคิดจะได้หลากหลายแง่มุม เพราะผมเชื่อ ทางไปของประเทศชาติข้างหน้า จะต้องมาจากการ "รวบรวมสติปัญญา" จากทรัพยากรบุคคลต่างระดับ ต่างสาขา จะมาจากสายเดียวไม่ได้!

อ้อ..ไอ้คำย่อว่า ศอฉ.นี่ เปลี่ยนใหม่ได้มั้ย เพราะมันเรียกไม่เข้าปากจนไม่มีใครอยากเรียก สงสัยคนย่อนี่คงเรียนตกภาษาไทย ไม่รู้ที่ตั้งเสียงของอักษรสูง กลาง ต่ำ "ศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน" เปลี่ยนอักษรย่อใหม่เป็น ศกฉ. หรือ ศสฉ. หรือ ศฉฉ. อย่างใด-อย่างหนึ่ง น่าจะฮิต-ติดปากกว่า ศอฉ. นะ? พ.อ.สรรเสริญ และ ดร.ปณิธานนั้น ทำหน้าที่ดีแล้ว ควรหาตัวช่วยมาเพิ่มอีก ต้องเน้นความสำคัญ "ให้ข้อมูลก่อน" กับสังคมโลก เคยสังเกตมั้ย ทุกครั้ง-ทุกเหตุการณ์ทำนองนี้ไม่ว่าที่ไหน "ตำรวจ-ทหาร" จะเป็นผู้ร้ายในสงครามข่าว มีแต่ครั้งนี้แหละที่ "สื่อทั่วโลก" สะท้อนเหตุการณ์ตรงข้อเท็จจริง ด้วยความเข้าใจ ไม่ใช่การชุมนุมตามวิถีทางประชาธิปไตย แต่พวกก่อการร้ายเสื้อแดงใช้การชุมนุมบังหน้า แล้วฆ่าทหาร ผมจะเอาข่าวที่นานาชาตินำเสนอที่เว็บไซต์ "มติชน" เขาออนไลน์ไว้มาให้ท่านอ่าน เพื่อยืนยันให้เห็นดังนี้ สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานเมื่อวันที่ 14 เม.ย.ว่า อ้างแหล่งข่าวระบุว่า เหตุการณ์ทหารปะทะกลุ่มคนเสื้อแดงเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา โดยมีกลุ่มมือปืนชุดดำยิงทหารในเหตุการณ์ดังกล่าว สะท้อนให้เห็นว่า ได้เกิดความแตกแยกขึ้นในกองทัพ ระหว่างทหารกลุ่มยศระดับล่างและระดับกลาง และเจ้าหน้าที่ทหารที่เห็นใจกลุ่มคนรากเหง้าเสื้อแดง กับกลุ่มทหารระดับสูงที่สนับสนุนสถาบัน กลุ่มธุรกิจ และกลุ่มคนชั้นกลาง โดย "เฟเดริโก เฟอร์รารา" ผู้เชี่ยวชาญด้านรัฐศาสตร์แห่งมหาวิทยาลัยแห่งชาติสิงคโปร์ แสดงทัศนะว่า เขาไม่แน่ใจว่ารัฐบาลจะสามารถเชื่อมั่นในความภักดีของผู้บัญชาการระดับชั้นกลาง โดยเฉพาะทหารระดับล่าง และถือได้ว่าสถานการณ์ของรัฐบาลมีความเปราะบางมาก

เอเอฟพีระบุอ้างแหล่งข่าวว่า กลุ่มคนเสื้อแดงได้รับการสนับสนุนจากกลุ่มทหารนอกแถว ซึ่งรวมทั้งนายทหารที่ปลดเกษียณ และนายทหารที่เป็นพันธมิตรกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีของไทย ขณะที่เจ้าหน้าที่ทหารรายหนึ่งที่ไม่ประสงค์จะเปิดเผยชื่อบอกว่า มีทหารระดับชั้นกลางจำนวนมากที่อยู่ข้าง พ.ต.ท.ทักษิณ ถูกกีดกันทางอำนาจ และตอนนี้พวกเขากำลังเอาคืน ด้วยการให้การสนับสนุนคนเสื้อแดง เพื่อเรียกอำนาจของตัวเองกลับคืนมา "มีความชัดเจนอย่างยิ่งว่ามีบางคนในกองทัพสนับสนุนกลุ่มคนเสื้อแดง และกองทัพไม่ได้มีความเป็นเอกภาพอีกต่อไป" นายปวิน ชัชวาลย์พงษ์พันธ์ ผู้เชี่ยวชาญประจำสถาบันศูนย์ศึกษาเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในสิงคโปร์กล่าว นอกจากนี้ เอเอฟพีระบุว่า กลุ่มคนเสื้อแดงยังได้ปฏิบัติการสองแนวรบ ด้านหนึ่งใช้การชุมนุมอย่างสันติตามท้องถนนในกรุงเทพฯ และอีกด้านหนึ่งใช้ปฏิบัติการของอดีตนายทหารและนายทหารปัจจุบันในกองทัพ โดยความแตกแยกของสถาบันกองทัพดังกล่าวกำลังสร้างความไม่แน่ใจอย่างลึกซึ้งต่อภาพลักษณ์ทางเศรษฐกิจของประเทศ ส่วนหนึ่งเนื่องจากไม่มีฝ่ายใดมีชัยในเหตุการณ์เมื่อวันเสาร์ และทำให้ทั้งสองกลุ่มนี้อยู่ในสภาพกำลังงัดข้อใช้กำลังซึ่งกันและกัน "ไม่มีฝ่ายใดได้ชัยชนะอย่างเด็ดขาด และเมื่อรัฐบาลไม่ได้เป็นผู้ใช้กำลังอำนาจอีกต่อไป

จากนั้นสถานการณ์ก็จะเข้าสู่ภาวะอนาธิปไตย" นายชาญวิทย์ เกษตรศิริ นักประวัติศาสตร์การเมืองไทยกล่าว เอเอฟพีระบุด้วยว่า แหล่งข่าวกองทัพและรัฐบาลกล่าวว่า พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ อดีตนายกรัฐมนตรีและพันธมิตรใกล้ชิดของ พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นผู้นำอดีตนายทหารเกษียณราชการและนายทหารปัจจุบัน คอยให้การสนับสนุนแก่กลุ่มคนเสื้อแดง แม้ว่าเร็วๆ นี้ เขาจะปฏิเสธว่า ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์มือปืนชุดดำโจมตีทหารระหว่างปะทะกับกลุ่มคนเสื้อแดงที่ถนนราชดำเนิน โดยเห็นได้ชัดว่า เขาเป็นคู่แข่งสำคัญในฉากการเมืองที่ปรากฏขึ้นมาในขณะนี้ โดยภายหลังเหตุการณ์เมื่อวันเสาร์ พลเอกชวลิตได้เรียกร้องให้รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ยุบสภา ขณะที่บทบาทของเขาก่อนหน้านั้น เมื่อเดือน ต.ค.ปีที่แล้ว เขาได้กลายเป็นประธานที่ปรึกษาพรรคเพื่อไทย ซึ่งถือเป็นกลุ่มปีกขวาของกลุ่มคนเสื้อแดง และพลเอกชวลิตได้โน้มน้าวให้ทหารนอกราชการเข้ามาร่วมกับเขา อันเป็นความเคลื่อนไหวที่ถูกมองว่าสร้างความแตกแยกให้สถาบันกองทัพที่ครั้งหนึ่งเป็นปึกแผ่นมั่นคง แหล่งข่าวรัฐบาลระบุว่า ความแตกแยกที่หนักข้อขึ้นได้เปลี่ยนแปลงชีวิตในค่ายทหารที่นายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และเจ้าหน้าที่รัฐบาลระดับสูง ใช้ร่วมประชุมกันที่กรมทหารราบที่ 11 โดยเจ้าหน้าที่รัฐบาลบอกว่า แผนของรัฐบาลได้รั่วออกจากกองทัพ "เราไม่รู้ว่าจะเชื่อถือใครได้ เพราะนอกเหนือจากเราแล้ว ก็ยังมีทหารที่อยู่ข้าง พ.ต.ท.ทักษิณ" เจ้าหน้าที่รัฐบาลระดับสูงบางรายที่ไม่ประสงค์จะให้เปิดเผยชื่อกล่าว

นอกจากนี้ เอเอฟพีชี้ว่า เมืองไทยยังคงสุ่มเสี่ยงที่อาจจะมีเหตุการณ์ปฏิวัติเกิดขึ้น เพราะไม่เป็นที่ชัดเจนว่า กองทัพจะปกป้องรัฐบาลไปอีกนานแค่ไหน หรือกองทัพจะสามารถต้านทานกลุ่มทหารที่เป็นพันธมิตรกับทักษิณได้อีกนานแค่ไหน โดยหากมีการคืนอำนาจสู่ประชาชน ก็ถือว่าโอกาสได้เข้าทางกลุ่มพันธมิตรของ พ.ต.ท.ทักษิณ และแม้แต่ที่ผ่านมา พลเอกอนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ.จะยืนยันว่า เขาจะไม่ปฏิวัติ แต่เรียกร้องให้รัฐบาลยุบสภา แต่จากประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา จะเห็นได้ว่า กลุ่มทหารที่สนับสนุนสถาบันไม่เคยปฏิเสธแนวทางที่จะปฏิวัติเลย เพราะสำหรับเมืองไทยนั้น มีการปฏิวัติ 18 ครั้ง ในช่วง 77 ปีที่ผ่านมา สำนักข่าวเอเอฟพีได้เผยแพร่คลิปวิดีโอเหตุการณ์การปะทะกันระหว่างกลุ่มคนเสื้อแดงและทหาร เมื่อวันเสาร์ที่ 10 เม.ย.ที่ผ่านมา โดยระบุว่า คลิปดังกล่าวเป็นคลิปที่ถ่ายไว้โดยผู้ชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดงเอง สำหรับคลิปวิดีโอนี้ได้ถูกโพสต์ขึ้นบนเว็บไซต์ยูทูป (http://www.youtube.com/ http://www.youtube.com/) ความยาว 53 วินาที ในช่วงระหว่างวินาทีที่ 8-12 ได้จับภาพนายทหารระดับผู้บังคับบัญชาซึ่งยืนอยู่บนรถ กำลังยิงปืนพกสั้นขึ้นฟ้า ตามขั้นตอนการปฏิบัติการสลายการชุมนุม โดยระหว่างที่นายทหารคนดังกล่าวยิงปืนขึ้นฟ้า ได้ปรากฏจุดเลเซอร์สีเขียวและสีแดงขึ้นบริเวณส่วนศีรษะของนายทหารระดับผู้บังคับบัญชา คล้ายกับเลเซอร์ระบุเป้าในการโจมตี ขณะที่อีกไม่กี่นาทีต่อมาก็เกิดประกายไฟและเสียงระเบิดขึ้นในหมู่เจ้าหน้าที่ทหาร และก่อให้เกิดความโกลาหลขึ้นตามมา จากนั้นภาพจึงมีการตัดมาที่กลุ่มคนเสื้อแดงเข้าทุบทำลายรถขยายเสียงของทางราชการ และภาพเจ้าหน้าที่ กลุ่มผู้ชุมนุมนอนได้รับบาดเจ็บหลายราย

ไม่มีคำต่อท้ายจากผมวันนี้ นอกจากบอกสั้นๆ ว่า ขอเพียงมะลิร่วง-พวงมาลัยร้อยก็พอ ไปเถอะ...ไปลูบบาดแผลทหารแล้วความอุ่นจากมือท่านจะเป็นยาวิเศษสมานใจ "ทหารกับประชาชน" ต้องผูกใจไปด้วยกันตลอดกาล ไปเถอะ...ไปที่โรงพยาบาลพระมงกุฎฯ นั่นแหละ ศูนย์รวมน้ำใจ...ให้ทหาร.!